วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

วันนี้เราก็มีการแต่งตัวแนววินเทจมาฝากกันนะครับ













การแต่งตัวสไตล์วินเทจ

สำหรับ "วินเทจ" ความหมายในแง่แฟชั่นจะหมายถึง "ของเก่า" หรือ "ของที่ทำให้ดูเก่า" ที่เราเห็นกันอยู่บ่อย ๆ ก็จะเป็นพวกของมือสอง หรือถ้าจะให้เป็นวินเทจแบบของแท้แน่นอนก็จะต้องเป็นสมบัติของพ่อแม่(หรือแม้แต่ของเพื่อน 555+) ที่เรานำกลับมาใช้ มาใส่ใหม่ได้เรื่อยๆตามช่วงเทรนด์ในแต่ละยุค บางคนก็ไม่สนใจยุค เป็นความชอบส่วนบุคคล
ลองนึกถึงภาพของหญิงสาวในยุค 60's ดู... สาว ๆ สมัยนั้นเค้าใส่เดรสสั้นทรงเอไลน์ มีปกเสื้อใหญ่ ๆ อาจจะมีคอร์เซ็ต(เข็มขัดเส้นใหญ่ ๆ)คาดด้วยก็ได้ นี่เป็นแค่ตัวอย่างเดียว ยังมีเสื้อผ้าสไตล์วินเทจแพทเทรินเก๋ ๆ อีกมากมายให้เราเลือกใส่กัน

แต่เดี๋ยวนี้ส่วนใหญ่เสื้อผ้า ข้าวของ เครื่องประดับที่เราเห็นที่เค้าบอกว่าสไตล์วินเทจ มักจะเป็น "เฟควินเทจ" หรือจะพูดง่าย ๆ ก็คือทำแพทเทรินสไตล์เก่า แต่ผ้าใหม่เท่านั้นเอง
ไม่ว่าจะเป็น "วินเทจ" หรือ "เฟควินเทจ" ก็มีเสน่ห์ไปคนละแบบเหมือนกัน แต่อย่างนึงที่มีเหมือนกันคือ "ความเรียบง่าย" ที่ดูทีไรก็ไม่เบื่อซักที แถมแฟชั่นนี้ยังตอบรับกระแสอนุรักษ์ทรัพยากรโลกด้วย(ก็เราไม่ต้องซื้อใหม่ไงคะ เอาของคุณยายคุณแม่มาใช้บ้าง ของเพื่อนบ้าง เห็นไหมละค่ะ ไม่ต้องเสียเงินซื้อใหม่ แล้วยังไม่ต้องใช้ทรัพยากรธรรมชาตในการผลิตเสื้อผ้าอีกด้วย) นอกจากนี้เรายังสามารถส่วมใส่ได้หลายโอกาส ไม่ว่าจะเป็นในวันธรรมดา หรือวันที่เราต้องออกงานในโอกาสพิเศษ

ส่วนเรื่องเครื่องประดับที่จะมามิกซ์แอนด์แมตช์กับเสื้อผ้าสไตล์วินเทจ ก็จะเป็นพวกเครื่องประดับทองเหลืองทั้งหลายซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มีทั้งที่เป็นทองเหลืองแท้ ๆ (ซึ่งก็จะมีราคาสูงซักหน่อย) และที่เป็นทองเหลืองที่ชุบขึ้นมาใหม่ และกระเป๋าก็สไตล์กระเป๋าหนังทั้งแบบสะพายเฉียงและสะพายข้าง
ในวันธรรมดาสาว ๆ อาจจะเลือกใส่เชิร์ตตัวโคร่ง พับแขน คู่กับยีนส์ขาเดฟหรือเลกกิ้ง แล้วก็คาดเข็มขัด หรือคอร์เซ็ต ซักเส้นทับเสื้อเชิร์ต และเพิ่มความโมเดิร์นแบบเท่ห์ ๆ ด้วยแว่นเรย์แบรนกับรองเท้าผ้าใบหรือคัชชูหนังส้นเตี้ย แค่นี้ก็ออกไปข้างนอกได้แบบชิลล์ ๆ แล้ว

และเมื่อเราจะต้องออกงาน เราก็สามารถเลือกใส่เดรส(จะเป็นเดรสยาวหรือสั้นก็ได้)ทรงเอก็สวยดีแต่ถ้าสาวคนไหนไม่ค่อยมั่นใจกับเดรสทรงเอ ลองใช้เข็มขัดเส้นเล็กๆ มาช่วยเน้นส่วน ให้ดูมีส่วนเว้าโค้งก็ได้ค่ะ หรือจะเลือกใส่กระโปรงเองสูงหรือกางเอง คู่กับเชิร์ตแขนยาวเข้ารูปก็ได้นะคะ เดี๋ยวนี้เค้ามีเสื้อเชิร์ตแบบเก๋ ๆ มีลูกเล่นที่คอเสื้อแปลก ๆ ให้เราเลือกมากมายเลยล่ะค่ะ เลือกใส่รองเท้าส้นสูง(จะเป็นส้นตันหรือส้นเข็ม)จะเหมาะมาก

เสื้อผ้าสไตล์นี้น่ะบางครั้งเราไม่ต้องเสียเงินซื้อก็ได้ค่ะ ลองไปเปิดตู้เสื้อผ้าคุณแม่ดู เราอาจจะได้เจอเสื้อผ้าเก๋ ๆ เยอะแยะเลยก็ได้ เห็นไหมล่ะสวยเก๋ ประหยัด แล้วยังอินเทรนด์ได้อีก


สามารถดูเพิมเติมได้ที่นี้http://campus.sanook.com/943262/%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B9%8C%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B9%84%E0%B8%8B%E0%B8%95%E0%B9%8C-lookbook/


วาเลนไทน์ปีนี้ แต่งตัวอย่างไรไปออกเดท ไปดูกันครับ


การแต่งตัวในแต่ละแบบบ่งบอกอารมณ์ที่แตกต่างออกไป บ่อยครั้งที่พบว่าการเพิ่มเสื้อผ้า หรือเครื่องประดับบางชิ้นสามารถนำทางความรู้สึกและการแสดงออกได้อย่างยอดเยี่ยม เหมือนวันไหนที่เรานึกสนุกแอบใส่ชุดชั้นในแบบเซ็กซี่สีดำ วันนั้นเราจะรู้สึกว่าตัวเองมีเสน่ห์และกล้าทำตัวเปรี้ยวมากขึ้น ดังนั้น การแต่งตัวจึงเป็นหนึ่งกลยุทธ์การสร้างสรรค์ภาพลักษณ์ที่ใช้ได้ดีเสมอในทุกโอกาส แม้แต่ในวันแรกที่คุณออกเดท เราลองมาเลือกสไตล์ของดาราดังในวันว่าง แล้วดูซิว่าพวกเธอให้ความรู้สึกในแบบไหน และเราสามารถสร้างอารมณ์ในแบบเดียวกันได้อย่างไรให้อินเทรนด์






ไม่มีอะไรจะแสดงความเป็นสาวรักธรรมชาติและอ่อนโยนได้ดีเท่ากับการแต่งตัวใน กลุ่มสีเอิร์ธโทนจำพวก เทา น้ำตาล อีกแล้ว แต่สำหรับช่วงนี้คุณต้องเพิ่มดีเทลให้ตัวเองมากขึ้นด้วยการด้วยการดึงสีขาวมาเป็นพื้นและใช้ในสัดส่วนหลักที่มากกว่าสีอื่นๆ อย่าง ใช้สีขาวเป็นท่อนล่างในแบบ กางเกงสามส่วนรูดปลาย แต่งระบายลูกไม้แมตช์ กับ เสื้อสายเดี่ยวสีเทา แบบ Eva Longoria หรือใช้ เสื้อสีขาว ในท่อนบนที่มีการ ตัดเย็บในแบบซ้อนชั้นแต่งลูกไม้ แบบย้อนยุคเข้าคู่กับ กางเกงทรงเดฟรัดรูปสีน้ำเงินเข้ม แบบเดียวกับ Kate Beckinsale สำหรับเดทกลางคืนที่เอื้อให้แต่อีฟนิ่งเดรสแบบที่หรูหราขึ้นมาอีกนิด น่าสนใจทีเดียวที่จะประกาศความหวานโรแมนติกใต้แสงเทียนกับการสวม เดรสสีขาวเหนือเข่า เข้าชุดกับรองเท้า และ เครื่องประดับสีขาว แบบ Paris Hilton และ Ann Hathaway สิ่งสำคัญที่ช่วยลดความโพลนตาคือ คุณต้องเลือกชุดและเครื่องประดับที่มีรายละเอียด ถ้าไม่อยากเน้นที่เนื้อผ้ามีลวดลายลูกไม้ ก็เลือกที่มีดีไซน์ซับซ้อนสไตล์วินเทจแบบจับจีบซ้อนระบายเข้าไว้








ความปราดเปรียวลึกลับนับเป็นเสน่ห์อีกแบบหนึ่งที่ผู้ชายไม่น้อยหลงใหล และสีที่แสดงบุคลิกลักษณะนี้ได้ชัดเจนที่สุดก็คือ สีดำ ถ้ามั่นใจในตัวเองและไม่แคร์ว่าเขาจะกลัวความลึกลับในแบบท้าทาย สีดำคือสีที่เหมาะสมกับสาวในแบบคุณ และนี่คือเทคนิคการเพิ่มมิติให้สีดำสะท้อนความเป็นตัวคุณในแบบหลากหลายอารมณ์คละเคล้า เหมือนค็อกเทลที่มีเบสเป็นวอดก้า ลึกลับในแบบอ่อนโยนกับการสวม แส็คเหนือเข่าสีดำที่มีรายละเอียดช่วงแขนแบบจีบระบาย หรือตัดเย็บด้วยผ้าเนื้อลูกไม้ แมตช์ความสว่างไสวกับ รองเท้าและเครื่องประดับเงินวาว และปล่อยผมเซอร์ธรรมชาติสไตล์ Rachel Bilson หรือถ้าชอบลึกลับเย้ายวนสไตล์คลาสสิกแบบ Catherine Zeta-Jones สวม แส็คดำ คาดเข็มขัดขาว เข้าชุดกับ รองเท้าขลิบขาว และลึกลับในแบบสาวฮาร์เล่ย์สไตล์ Kirsten Dunst สวม เสื้อแขนกุดคอกว้างสีดำ กับ กางเกงหรือกระโปรงยีนส์มินิชายรุ่ย กับ แว่นกันแดดกรอบกลมขอบหนา

สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่http://www.hi5thai.com/viewthread.php?tid=71908

สำหรับรูปภาพเราก็เอามาฝากเช่นกันครับ







ใครอยากดูหรืออยากได้ภาพสวยๆ ก็เข้าไปได้ที่นี่เลยครับ



สิ่งที่หน้าสนใจวันนี้ เราเอาผ้าที่สามารถนำมาทำเป็นชุดประจำชาติมาฝากครับ โดยมีผ้าแปลกๆ และโดดเด่นครับผม

ผ้าจากใยแมงมุมสีทอง


นักประวัติศาสตร์ ศิลปะชาวอังกฤษผลิตผลงานอันน่าทึ่ง ด้วยการทอผ้าคลุมไหล่จากใยสีทองของแมงมุม  “golden orb spider” กว่า 1 ล้านตัว โดยใช้เวลาในการถักทอทั้งสิ้น 5 ปี ทั้งนี้เชื่อว่าผ้าคลุมไหล่ดังกล่าว เป็นผืนผ้าที่ผลิตจากใยแมงมุมสีทองขนาดใหญ่และหายากที่สุดในโลก
ผ้าคลุมไหล่ทอมือจากใยแมงมุม ขนาด 11 ฟุต เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของนายไซมอน เพียร์ส เขาใช้เวลาในการถักทอทั้งสิ้น 5 ปี โดยมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานทั้งสิ้นมากกว่า 15.7 ล้านบาท
ผ้าผืนนี้ถูกนำไปแสดงที่พิพิธภัณฑ์ “American Museum of Natural History” ในกรุงนิวยอร์ค เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และจะถูกนำไปอวดโฉมที่กรุงลอนดอนในปีหน้า
 แมงมุม 1 ตัว สามารถผลิตเส้นใยสีทองได้มากถึง 400 หลา
ผ้าคลุมไหล่ผืนนี้ ผลิตจากใยของแมงมุม “golden orb spider” ซึ่งมีถิ่นอาศัยอยู่ในมาดากัสการ์ จำนวนกว่า 1 ล้านตัว  และมีเพียงตัวเมียเท่านั้นที่จะผลิตเส้นใยสีทองที่ทั้งสวยงามและมีความแข็ง แรงทนทาน จนสามารถนำมาใช้งานได้
นายนิโคลาส ก็อดเล่ย์ หุ้นส่วนของนายเพียร์ส กล่าวว่า กว่าจะได้ใยไหมเพียง 1 ออนซ์ (0.028 ก.ก.) ต้องใช้ (แรงงาน) แมงมุมมากถึง 14,000 ตัว และผ้าคลุมไหล่ผืนนี้ก็มีน้ำหนักราว 2.6 ปอนด์ (1.179 ก.ก)
“เราต้องหาผู้ร่วมงานที่เต็มใจทำงานกับแมงมุม และไม่กลัวพวกมันกัดเวลานำใยมาใช้ทอผ้า” นายก็อดเล่ย์ กล่าว
นายเพียร์ส ได้แรงบันดาลใจในการทอผ้าใยแมงมุมมาจากเรื่องเล่าขานที่ว่า เคยมีหัวหน้านักล่าอาณานิคมชาวฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 19 นำใยของแมงมุม “golden orb spider” ในมาดากัสการ์ มาใช้ทอผ้า อย่างไรก็ตาม เขาสารภาพว่า “ผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าตำนานดังกล่าวเป็นเรื่องชัวร์หรือมั่วนิ่ม”
ในช่วงแรกของการทอผ้าจากใยแมงมุม เขาต้องพบกับอุปสรรคอันใหญ่หลวง เมื่อแมงมุมที่นำมาใช้ผลิตเส้นใย (ชุดละ 24 ตัว) เริ่มกัดกินกันเอง
“เราเริ่มต้นทำงานโดยใช้แมงมุมกว่า 20 ตัว แต่สุดท้ายกลับเหลือแมงมุมอ้วนพีเพียง 3 ตัว”
หลังใช้ความพยายามเป็นเวลานานกว่า 5 ปี ผลงานในครั้งนี้ก็เสร็จสมบูรณ์ และถือเป็นผ้าที่ทำจากใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการผลิตมา โดยผ้าจากใยแมงมุมที่เคยมีคนทำมาก่อนหน้า มีความยาวเพียงไม่กี่เซ็นติเมตร ปัจจุบันถูกนำไปจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ลียง ประเทศฝรั่งเศส
ถึงแม้ว่าจะมีแมงมุมเป็นจำนวนมากที่ ตายในหน้าที่ แต่นายเพียร์สและนายก็อดเล่ย์ ก็ได้คิดค้นระบบเพาะพันธุ์แมงมุมที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีแมงมุมรุ่นใหม่ๆ เกิดขึ้นทดแทนทุกวัน ส่งผลให้ทั้งคู่กลายเป็นนักเพาะพันธุ์แมงมุมชนิดนี้ไปโดยปริยาย


ใครที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่http://srikate.blogspot.com/2012/01/blog-post_29.html

วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2555

วันนี้เราก็มีชุดไทยๆสวยๆอินเทรนด์ 2010มาให้ดูกันนะครับ


ชุดไทย ชุดไทยประยุกต์ ชุดไทยพระราชนิยม (Thai traditional dresses)

ชุดไทย แต่งงาน ชุดไทยแบบต่างๆ ประวัติ ชุดไทยพระราชนิยม

      ชุดไทย ( Thai traditional dresses ) ในที่นี้ หมายถึง ไทยเรือนต้น ไทยบรมพิมาน ไทยอมรินทร์ ไทยจิตรลดา ไทยจักรพรรดิ ไทยจักรี ไทยศิวาลัย และชุดไทยดุสิต ซึ่งเป็น ชุดไทยพระราชนิย (Thai Phra Ratcha Niyom) ที่ได้รับการยอมรับว่า เป็นเครื่องแต่งกาย ที่งดงามมากๆ จากสังคมไทย โดยนิยมใช้ เนื่องในโอกาส และ พิธีการ ที่เป็นทางการมากๆ เช่น งานเข้าเฝ้า งานบ้านงานเมือง งานราตรี ใน ต่างประเทศ ความนิยม และ การเลือกใช้ ชุดไทยแต่งงาน   วัฒนธรรม การแต่งกายไทย โดยการใช้ ชุดไทย นี้ได้เกิดเป็น กระแสนิยม กันสืบเนื่องมา หลังจากที่ สมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชดำริ และทำการ ส่งเสริม อย่างจริงจัง จนเกิด เครื่องแต่งตัว เป็นมาตรฐาน ของผู้หญิงไทย ในแบบต่างๆขึ้น ตามที่กล่าว เสื้อผ้าที่ได้รับยกย่องว่า แต่วัฒนธรรมนั้น ย่อมมีการเจริญเติบโต และการเปลี่ยนแปลง อยู่เสมอ ตาม วิถีชีวิต ประชาชน สภาพสังคม ศาสนา สถานะภาพ ในสังคม และ ผลจากสื่อ ชนิดต่างๆ ที่มีในขณะนั้น ท่านสามารถ อ่านบทความเรื่อง ความเป็นมา ของชุดไทยก่อนมีการ เปลี่ยนแปลงแบบในบางส่วน และมีคำเรียกทางการค้าว่า ชุดไทยประยุกต์ ซึ่งประวัติความเป็นมา ชุดไทยพระราชนิยม ก่อนเห็นชุดไทยประยุกต์ ในแบบปัจจุบัน ดังลิ้งค์ที่ เรา ให้ไว้ ชุดประจำชาติไทย ของคนไทย และ พิธีกรรม สำคัญใน สังคมชั้นสูง อีกหลายชนิด


สามารถดูรายละเอียดได้ที่นี้http://www.thaitopwedding.com/Thai-Dresses-01.html

วันนี้เราก้มีความเป็นมาของผ้าไหมแพรวากาฬสินมาฝากนะครับ


ประวัติ ความเป็นมาของผ้าไหมแพรวากาฬสินธ์ 
          ผ้าแพรวา เป็นชื่อเฉพาะที่เรียกผ้าชนิดหนึ่ง ที่ใช้สำหรับคลุมไหล่หรือห่มสไบเฉียงของชาวผู้ไทย ซึ่งใช้ในงานเทศกาล บุญประเพณีหรืองานสำคัญอื่นๆ เป็นผ้าที่ทอด้วยมือ แพร หมายถึง ผ้า วา หมายถึงความยาวของผ้า วา คำว่า แพรวา จึงมีความหมายว่า ผ้าที่มีความยาวประมาณ วา
          ชาวผู้ไทย เป็นกลุ่มชนที่อพยพมาจากประเทศจีนตอนใต้ ข้ามแม่น้ำโขงเข้ามาตั้งหลักแหล่งอยู่แถบเทือกเขาภูพาน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยเป็นส่วนใหญ่ โดยยังรักษาวัฒนธรรมประเพณี ความเชื่อ การแต่งกาย และการทอผ้าไหม ผู้หญิงจะถูกฝึกทอผ้าแพร วาตั้งแต่อายุ 9 - 15 ปี ชาวผู้ไทยที่ทอผ้าแพรวาส่วนใหญ่จะอยู่ที่บ้านโพน อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ ที่มีภูมิปัญญาในการทอผ้าไหมด้วยการเก็บลาย หรือเก็บขิดแบบจกที่มีลวดลายโดดเด่นที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษและ พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ประกอบการเลือกใช้เส้นไหมน้อย หรือไหมยอดที่มีความเลื่อมมัน ผ้าไหมแพรวาถือว่าเป็นของล้ำค่าและมีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตของชาวผู้ไทย จังหวัดกาฬสินธุ์อย่างแท้จริง ดังคำขวัญจังหวัดกาฬสินธุ์ที่ว่า
เมืองฟ้าแดดสงยาง โปงลางเลิศล้ำ วัฒนธรรมผู้ไทย ผ้าไหมแพรวา
ผาเสวยภูพาน มหาธารลำปาว ไดโนเสาร์สัตว์โลกล้านปี
คำนิยาม
ผ้าแพรวา เป็นชื่อเฉพาะที่ชาวอีสานทั่วไปเรียกผ้าชนิดหนึ่งที่ใช้สำหรับคลุมไหล่หรือ ห่มสไบเฉียงของชาวผู้ไทย ซึ่งใช้ในโอกาสที่มีงานเทศกาล บุญประเพณีหรืองานสำคัญอื่นๆ
ผ้าแพรวา มีความหมายตามรูปศัพท์ ซึ่งเป็นคำผสมระหว่างคำมูล คำ คือ
ผ้า หมาย ถึง วัสดุอย่างหนึ่งที่มีลักษณะเป็นผืน ได้จากการเอาเส้นใยของ ฝ้าย ไหม ป่าน ปอ ฯลฯ ซึ่งผ่านกรรมวิธีหลายอย่างเป็นต้นว่า การปั่นเส้นใยทำเป็นเส้นด้าย ย้อมสี ฟอกสี การฟั่นเกลียว การเคลือบผิว ฯลฯ แล้วนำเข้ามาทอเข้าด้วยกันให้เป็นผืนมีขนาดความกว้าง ความยาวแตกต่างกันไปตามความต้องการใช้สอยประโยชน์ เมื่อทอเสร็จเป็นผืนแล้ว จะเรียกชื่อแตกต่างกันออกไปตามชื่อวัสดุที่นำมาใช้ถักทอ เช่น ถ้าทอจากใยฝ้าย เรียกว่า ผ้าฝ้าย หรือถ้าทอจาก เส้นใยไหม เรียกว่า ผ้าไหม

แพร หรือ แพ(ภาษา อีสาน) หมายถึง ผ้าที่ยังไม่ได้แปรรูปให้เป็นเสื้อ หรือซ่ง (โส่งหรือกางเกง) คือยังมีลักษณะเป็นผืนผ้าที่เสร็จจากการทอมักเรียกชื่อแตกต่างกันออกไปตาม ลักษณะวัสดุที่ใช้ เช่น แพรไหม แพรฝ้าย แพรอีโป้ เป็นต้น

วา หมายถึง มาตราวัดความยาวอย่างหนึ่ง ได้จากการกางแขนทั้งสองแขนออกไปจนสุดแล้วทาบกับสิ่งที่ต้องการวัดขนาดความ ยาว ด้วยการทาบลงไปให้แขนตรงเป็นเส้นขนาน ทำอย่างนี้แต่ละครั้งเรียกว่า วา (ต่อมาปรับปรุงมาตราวัดนี้ใหม่ว่า 1วา มีขนาดเท่ากับ ศอก)

ดังนั้นคำว่า ผ้าแพรวา จึงมีความหมายรวมกันว่า ผ้าทอเป็นผืนที่มีขนาดความยาว วา หรือ ช่วงแขน

ผ้าไหมแพรวากาฬสินธุ์ หมาย ถึง ผ้าไหมที่ทอประดิษฐ์ลวดลายด้วยการขิด และการจก ใช้เส้นไหมตีเกลียวเป็นทั้งเส้นยืนและเส้นพุ่ง รวมทั้งมีเส้นไหมเพิ่มพิเศษในการทำให้เกิดลวดลายตามกรรมวิธีที่ปราณีตของชาว ผู้ไทย ที่เป็นมรดกทางหัตถกรรมที่ถ่ายทอดสืบกันต่อมา 
 เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2520 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยี่ยมพสนิกรในอำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ ได้ทอดพระเนตรเห็นชาวผู้ไทยแต่งชุดพื้นเมือง ห่มสไบเฉียงแพรวาสีแดง ด้วยสายพระเนตรที่ยาวไกลได้ทรงพระราชทานเส้นไหมให้แก่ชาวบ้านโพนเพื่อทอผ้า แพรวาถวาย และโปรดรับงานทอผ้าแพรวาของชาวผู้ไทย อำเภอคำม่วงเข้าไว้ในโครงการศิลปาชีพในพระบรมราชินูปถัมภ์และทรงโปรดให้มี การพัฒนาการทอผ้าไหมแพรวา จนทำให้ผ้าแพรวาเป็นที่รู้จักแพร่หลายทั่วไป


รายละเอียดเพิ่มเติมได้ดังนี้http://nornkaw.blogspot.com/p/blog-page_8959.html

วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

เปิดตัวชุดราตรีหรู-และชุดประจำชาติ “สยามไอยรา”

ชุดประจำชาติ สยามไอยรา” ผลงานการออกแบบของ พลิน อภิญญากุล ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก ช้าง สัตว์ประจำชาติที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายว่าเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของประเทศไทย โดยนำเครื่องทรงของช้างต้น ได้แก่ ผ้าปกกระพอง พู่หู กระพรวน มาเป็นแนวทางหลัก ในการออกแบบเครื่องประดับ ประกอบด้วย เกี้ยว ต่างหู กำไลข้อมือ กำไรข้อเท้า พู่ขา เข็มขัด เป็นต้น โดยผลิตจากทองเหลืองชุบน้ำยาที่มีส่วนผสมของทองคำแท่ง 18% ส่วนของทรงผมใช้วิธีการขึ้นโครง แล้วนำผมปลอมที่สั่งทำพิเศษมาลูบกาวยิงสเปรย์อัดจนขึ้นเป็นทรงคล้ายกับงวงช้าง ด้านซ้ายถือพัดโบก เปรียบเสมือนหูช้างอีกข้าง ซึ่งความหมายโดยนัยของ พัด คือ การปัดเป่าทุกข์ภัย นำมาซึ่งความร่มเย็นเป็นสุขและสันติภาพ

คุณนงนารถ จิรกิติ แห่งห้องเสื้อ Noriko เปิดเผยถึงการตัดเย็บชุด สยามไอยรา ว่า “จากแบบร่างของชุด สยามไอยรา ทำออกมาได้ค่อนข้างสมบูรณ์ ผ้าที่ใช้ในการตัดเย็บ เป็นผ้าคอตตอนพิมพ์ลายไทยจากห้างหุ้นส่วนจำกัด โขมพัสตร์ ท่อนบนทำเป็นเกาะอกเปิดให้เห็นช่วงเอวของผู้สวมใส่ แขนด้านขวาตัดเย็บเป็นเสื้อแขนยาวจนถึงข้อมือ ส่วนบริเวณหัวไหล่จับผ้าพองในลักษณะคล้ายหูช้าง สำหรับสไบเฉียงและผ้าคลุมหลังใช้ผ้าสีเลือดหมู ผ้าคลุมหลังเพิ่มเติมรายละเอียดให้ดูโดดเด่นด้วยการนำผ้าคอตตอนพิมพ์ลายมาเย็บติดตรงเชิงผ้า ท่อนล่างจับจีบในลักษณะของ โจงกระเบน สวมทับด้วยถุงน่องสีเทา”

ส่วนของชุดราตรี ออกแบบและตัดเย็บโดยห้องเสื้อ Amore โดย คุณภคมน ทวีสวย ดีไซน์เนอร์ชื่อดัง เปิดเผยว่า “ปีนี้การประกวดนางงามจักรวาลจะจัดขึ้นที่ลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นเมืองแห่งแสงสี ดังนั้นชุดราตรีที่ออกแบบและตัดเย็บให้กับน้องปุ๊กลุกสวมใส่บนเวทีรอบตัดสินจึงเน้นการใช้แสงและเล่นไฟบนเวทีเป็นหลัก มีความทันสมัยแต่ยังคงกลิ่นอายความเป็นไทย โดยเป็นชุดราตรียาวสีเงินเข้ารูปโชว์สรีระ บ่าเบี่ยงด้านขวาเหมือนห่มสไบ เพิ่มความโดดเด่นของชุดด้วยการปักเลื่อมคล้ายลายกนกวิ่งผ่านทั้งตัวดูอ่อนหวานและแข็งแกร่งในเวลาเดียวกัน เติมความ เซ็กซี่ด้วยการเจาะซีทรู พร้อมเผยให้เห็นแผ่นหลังที่สวยงาม ส่วนท่อนล่างดีดชายกระโปรงเป็นหางปลาเพื่อความหรูหราอลังการ”

นางสาวฝนทิพย์ วัชรตระกูล มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส ประจำปี 2553 มีกำหนดออกเดินทางเข้าร่วมกิจกรรมการประกวดนางงามจักรวาล 2010 (2010 MISS UNIVERSE®) ในวันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม 2553 เที่ยวบินที่ TG794 เวลา 19.30 น. การประกวดรอบแรก (Presentation Show) จะจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม 2553 เวลา 06.00 น. (ตามเวลาในประเทศไทย) ถ่ายทอดสดผ่านทาง www.missuniverse.com ส่วนการประกวดรอบตัดสิน จะจัดขึ้นในวันอังคารที่ 24 สิงหาคม 2553 ช่อง 7 สี ถ่ายทอดสดผ่านดาวเทียมจาก มันดาเลย์ เบย์ รีสอร์ท แอนด์ คาสิโน ลาสเวกัส มลรัฐเนวาดา ประเทศสหรัฐอเมริกา ในวันอังคารที่ 24 สิงหาคม 2553 เวลา 08.00 น. (ตามเวลาในประเทศไทย) และนำเทปบันทึกภาพมาออกอากาศให้ชมอีกครั้ง คืนวันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม 2553 เวลา 01.30 น.






อยากดูเพิ่มเติม เรามีให้ดูได้ที่
mtu.ch7.com/news-detail.aspx?PostId=3906

วันนี้เราก็มีลักษณะการแต่งตัวของชาวไทยแต่ละสมัยมาให้ดูกันนะครับ

สมัยน่านเจ้าจนถึงปลายสมัยอยุธยา

สมัยน่านเจ้า(พ.ศ. ๑๑๖๑–๑๑๙๔)
           เมื่อชนชาติไทยอพยพเคลื่อนที่ลงมาสู่แหลมอินโดจีนโดยลำดับ จนได้ตั้งอาณาจักรไทยน่านเจ้าขึ้นเป็นอาณาจักรไทยแห่งหนึ่งที่หนองแสตาลีฟู หญิงไทยคงรักษาวัฒนธรรมและประเพณีทางการแต่งกายของตนไว้ ไม่ใช้ฝุ่นผัดหน้าหรือเขียนคิ้ว ใช้น้ำกลั่นจากต้นหม่อนทาผม หญิงผู้ดีนุ่งซิ่นไหม ใช้ผ้าไหมอีกผืนหนึ่งคาดเอวไว้ ผมมุ่นสูง บางทีถักเป็นเปียห้อยลงสองข้าง ใช้ต่างหูทำด้วยไข่มุก ทับทิมหรืออำพัน นิยมใช้รองเท้าฟาง


สมัยเชียงแสน(พ.ศ ๑๖๖๑–๑๗๓๑)
           อาณาจักรน่านเจ้าสิ้นสุดลง ชนชาติไทยเคลื่อนสู่แหลมอินโดจีนรวบรวมกันเป็นอาณาจักรใหม่ เรียกลานนาไทย หรือเชียงแสน ราว พ.ศ. ๑๖๖๑–๑๗๓๑ เนื่องแต่เข้ามาอยู่ในเขตร้อน หญิงไทยจึงนุ่งซิ่นถุง แต่การทอผ้ามีลวดลายตกแต่งประดับประดา เช่น ซิ่นทอลายขวาง เกล้าผมสูง ปักปิ่นประดับผม



สมัยสุโขทัย (พ.ศ. ๑๗๘๑–๑๘๒๖)
           อาณาจักรสุโขทัยเริ่มราว พ.ศ. ๑๗๘๑ เป็นระยะเวลาใกล้กับที่ไทยอีกพวกหนึ่งเรียกตัวเองว่า ปงหรือปา ไปก่อตั้งอาณาจักรอาหม บัดนี้คือมณฑลอัสสัมในอินเดีย พ่อขุนรามคำแหงแห่งสุโขทัย ทรงคิดตัวอักษรไทยขึ้น อิทธิพลทางวัฒนธรรมพราหมณ์และขอมแพร่มาถึงสตรีไว้ผมเกล้าสูง อย่างที่เรียกว่า โองขโดง คือรวบขึ้นไปเกล้ามวยกลางกระหม่อม มีเกี้ยวหรือพวงมาลัยสวม สนมกำนัลแต่งกรัชกายนุ่งห่มผ้าลิขิตพัสตร์ ผ้าสุวรรณพัสตร์ ประดับเครื่องอลังกาภรณ์ มีจดหมายเหตุบันทึกการแต่งกายสตรีว่า หญิงนุ่งผ้าสูงพ้นดิน ๒ - ๓ นิ้ว (กรอมเท้า) สวมรองเท้ากีบทำด้วยหนังสีดำสีแดง


สมัยอยุธยา รัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
           พระมเหสีเทวีแต่โบราณเสวยพระกระยาหารต่างเวลากับพระมหากษัตริย์ ย่อมโปรดให้ข้าหลวงตั้งเครื่องเสวยของพระองค์เองก่อนหรือภายหลัง เพื่อมีเวลาถวายปรนนิบัติพระราชสวามีได้เต็มที่ เครื่องทรงเป็นภูษาจีบห่มผ้าปัก มีเครื่องประกอบยศขัตติยนารี

ต้นสมัยอยุธยา (พ.ศ. ๑๘๙๓– ๒๑๓๑)
           พระเจ้าอู่ทอง ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยา ศิลปะการดนตรีขับร้องและกลอนเพลงเฟื่องฟู ไทยเริ่มนุ่งโจงกระเบน แปลงจากทรงหยักรั้งอย่างขอม หญิงนุ่งจีบห่มสไบ มีผ้าห่มชั้นในอีกผืนหนึ่งห่มอย่างผ้าแถบสไบชั้นนอกใช้ผ้าเนื้อหนาก็ได้ ตามกฎมณเฑียรบาลสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถระบุว่า “เมื่องานใส่เศียรเพชรมวย” คือเกล้าไว้ที่ท้ายทอย "เกล้าหนูนยิกเกี้ยวแซม" คือ ผมเกล้าสูงไว้บนกระหม่อม
สมัยอยุธยา (พ.ศ. ๒๒๗๕ - ๒๓๐๑)
           ในสมัยอยุธยารัชกาลพระเจ้าบรมโกษฐ์ วรรณคดีไทยเฟื่องฟูมาก เช่น มีกาพย์เห่เรือของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ ซึ่งได้ใช้ขับเห่เรือพระที่นั่งมาจนปัจจุบัน การแต่งกายสตรีตามภาพพจน์นิพนธ์กล่าวว่า
“คิดอนงค์องค์เอวอร       ผมประบ่าอ่าเอี่ยมไร” 

และ “ผมเผ้าเจ้าดำขลับ       แสงยับยับกลิ่นหอมรวย 
ประบ่าอ่าสละสลวย       คือมณีสีแสงนิล”


           แสดงว่าสตรีนิยมไว้ผมยาว เจ้าฟ้ากุณฑลและเจ้าฟ้ามงกุฎ พระราชธิดาสมเด็จพระเจ้าบรมโกษฐ์ได้นิพนธ์บทละครเรื่อง ดาหลังและอิเหนา ขึ้น ตามเค้าเรื่องที่ข้าหลวงเชื้อชาติมลายูเล่าถวาย



 สิ้นรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ ประเทศไทยต้องทำศึกสงคราม การแต่งกายของสตรีจึงเปลี่ยนแปลงไป
ผมที่เคยไว้ยาวประบ่าก็ต้องตัดสั้น เพื่อสะดวกในการปลอมเป็นชายอพยพหลบหนี ห่มผ้าคาดอกแบบตะเบงมานรวบชายผูกเงื่อนที่ต้นคอ แสดงถึงหญิงไทย แม้จะเป็นเพศอ่อนโยนสวยงาม แต่ก็อาจปรับตัวรับสถานการณ์ฉุกเฉินได้ งานบ้านปรกติก็ต้องทำ เช่น ฝัดข้าวไว้หุง แต่พอมีสัญญาณภัยก็วางกะด้ง คว้าดาบ
พร้อมที่จะสู้ได้ทันที

สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่