หน่วยที่1


1.อิตาลี
          สมัยฟื้นฟูเป็นช่วงสมัยในศตวรรษที่ 13, 14 จนกระทั่งถึงต้นศตวรรษที่ 15 และรุ่งเรืองมาก ในประมาณกลางศตวรรษ ประมาณ ค.ศ. 1500
          ในประเทศอิตาลี การแต่งกายมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะมีผลต่อการแต่งกายของชาย มากกว่าหญิง ซึ่งเรียกว่า “Conventional” Style
          การแต่งกายของชายประกอบไปด้วยเสื้อ เชิ้ต 1 ตัว ใส่ Tunic หรือไม่ก็ใส่เสื้อ รัดรูป (Doublet) กับกางเกงรัดรูป (Hose) มีเสื้อคลุมทับ Doublet เรียกว่า Pourpoint เสื้อเชิ้ต นั้น จะตัด จากผ้าลินินที่ทำให้มีความพองมาก ๆ และรวบไว้ที่รอบคอและรอบข้อมือ คอเสื้อจะมีทั้งคอกลม และคอวี และคอสี่เหลี่ยม ซึ่งมีมาก่อน ค.ศ. 1500-1525 เป็นลักษณะที่มีระบายเล็ก ๆ โดยรอบ ต่อมาเปลี่ยนมาเป็นแบบ Ruff (เป็นรอยพับ) ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 16 และเสื้อรัดรูป เปลี่ยนเป็นใช้ Tunic ชนิดสั้น แล้วสวมเสื้อนอกมีแขน ปลายแขนแคบ โคนแขนพองรัดเป็นปล้อง ๆ ทำตอนบนของแขนให้พอง
          เสื้อคลุมค่อนข้างสั้น คลุมชุด Tunic ที่มีลักษณะหลวมและมีเข็มขัดรัดไว้มีจีบรูด คอเสื้อ กลมหรือเหลี่ยม มีแขนยาว แขนเสื้อสามารถถอดออกจากตัวเสื้อได้



2.ฝรั่งเศสสมัยกลาง 

 ในสมัยนี้ผู้หญิงและผู้ชายยังคงสวมเสื้อผ้าเหมือนชาวโรมัน จะใส่ชุดทูนิค 2 ชั้น และมีเสื้อ Mantle คลุม เสื้อชั้น ในจะยาวเป็นทรงตรงมีแขน มีเข็มขัดคาดเรียกว่า Chainse อีกชั้น หนึ่งจะ สวมชุดที่เรียกว่า Bliaud หรือ Bliaut ซึ่งไม่มีแขนและคอปก เสื้อคลุมจะมีที่กลัดไว้ที่ด้านหน้าหรือ ด้านข้างขวาที่ไหล่ (ชุด Bliaud ต่อมาจะเป็น Blouse) ในศตวรรษที่ 13 ชุดทูนิคชั้นในที่เรียกว่า Chainse ต่อมาวิวัฒนาการเป็น Chemise ทำจาก ผ้าขนสัตว์ หรือลินินเนื้อนิ่มบางนุ่ม สีนวลอ่อน ๆ เป็นการเริ่มต้นของเสื้อชั้น ในเรียกว่า Lingerie ต่อมา มีการเปลี่ยนการใช้ผ้าที่ใช้ทำเสื้อผ้ามาเป็นผ้า Batiste Chambray เป็นผ้าที่ทำจากด้าย ลินินอย่างดี      ต่อมาเสื้อเชอร์โคท (Surcoat) ก็เป็นที่นิยมกัน ลักษณะเสื้อเป็นทรงหลวม ๆ คล้ายเอี้ยมเด็ก ตัวยาวด้านข้างจะโค้งลงมาเผยให้เห็นแนวสะโพก ซับในด้วยขนสัตว์ เสื้อเชอร์โคทเวลาใส่จะ มองเห็นชุดชั้น ในที่เรียกว่า คอทฮาร์ได (Cotehardie) มีลักษณะรัดรูปผ่ากลางหน้า แขนยาว กระชับติดกระดุมที่แนวข้อศอกถึงนิ้วก้อย ประมาณกลางศตวรรษที่ 15 เสื้อ Surcoat เริ่มหมดความนิยมมานิยมเสื้อลาโรป (Larobe) แทน มีลักษณะเข้ารูปรัดเอว แขนแคบ กระโปรงพองกลางยาวถึงพื้น ผู้ชายใส่เสื้อ Jacket แทน Surcoat ต่อมานิยมใช้เสื้อคลุมแบบใหม่แทน Mantle หรือ Cloaks เรียกว่า Houppeland เป็น เสื้อคลุมตัวยาว แขนกว้าง ชายแขนเป็นชายโค้งประดับด้วยขนสัตว์ คอตั้งมีเข็มขัดคาด ผมในสมัยแรกชายนิยมไว้ผมยาวถึงไหล่ ไว้หนวด ต่อมาโกนหนวดทิ้ง ทำผมบ๊อบ ข้างหน้า ไว้ผมหน้าม้า ระยะหลังจึงกลับมาไว้ผมยาวอีก ผู้หญิง ไว้ผมแสกกลางถักเปีย 2 ข้าง บางทีใส่วิก ระยะหลังไว้ทรงมาดอนน่า คือ แสก กลางหวีลงมาข้างแก้ม ระยะหลังจะถักเปียแล้วขมวดเป็นวงกลมไว้ข้างหู หรือปิดหูทั้ง 2 ข้าง
การใช้หมวก ในระยะแรกผู้หญิงไว้ผมยาวถักเปีย แล้วใช้ผ้าลินินคลุมเรียกว่า Couvechef อังกฤษเรียก Wimple ต่อมาดัดแปลงเป็นหมวกเล็ก ๆ ทำจากผ้าลินินลงแป้งแข็งจับ เป็นจีบ มีสายรัดใต้คางเรียกว่า Toque ผู้ชายสวมหมวกที่เรียกว่า Chaperon turban ลักษณะ เหมือนหงอนไก่ ต่อมามีการใช้ net คลุมผมในลักษณะต่าง ๆ กัน
รองเท้า เรียกว่า พัวเลนซ์ (Poulaines) ได้แบบมาจากโปแลนด์ ลักษณะหัวรองเท้า ปลายทำงอนยาวและแข็ง มียศมากยิ่งยาวมาก ปลายยาวขนาดต้องเอาโซ่มาผูกกับข้อเท้า


3.อังกฤษสมัยกลาง
          ในช่วงต้นศตวรรษ ชาวอังกฤษชายหญิงจะสวมเสื้อ Shirt หรือ Camise หรือ Chemise ทำจากผ้าลินินหรือผ้าขนแกะเนื้อ บางแนบตัว เอาไว้ชั้น ใน ชั้น ที่ 2 จะสวมชุด Cotte หรือ Stola ซึ่งเป็นเสื้อแขนยามีกระดุมตั้งแต่ศอกถึงข้อมือ ชั้น ที่ 3 สวม Bliaud หรือ Tunic เป็นเสื้อหลวมยาว ถึงข้อเท้า แขนกว้าง ต่อมาผู้ชายจะเปลี่ยนมาใส่ Bliaud สั้น สวมถุงเท้าหนาเรียกว่า Stocking 

          หมวกผู้ชายสวม Skullcaps หรือ Hood ผู้หญิงจะสวม Headrail เป็นหมวกทำจาก ผ้าลินิน หรือฝ้ายทรงเหลี่ยมบ้าง กลมบ้าง รีบ้าง แล้วมีเชือกผูกใต้คาง

          ตอนกลางศตวรรษ ชายหญิงชาวอังกฤษจะสวมเสื้อแบบใหม่เรียกว่า Surcoat มีลักษณะ เหมือนเอียมโค้ง เว้าวงแขนลึกประมาณระดับสะโพก ต่อมาจะเป็น Dress ส่วนชุดชั้น ใน Cotte จะเปลี่ยนไปเป็น Petticoat และใส่หมวกที่เรียกว่า Chinband ทำด้วยผ้าแข็งจีบมีสายคาดคาง ต่อมาจะสวมเสื้อที่เรียกว่า Cotehardis ไว้ใน Surcaot มีลักษณะเข้ารูปรัดตัดผ่าหน้า มีกระดุมติด แขนยาวมีกระดุมติดจากศอกถึงนิ้วก้อย ภายหลังเรียกว่า Jacket 

          ตอนปลายสมัยมีหมวกเกิดขึ้น หลายแบบ มี liripipe หรือ Hood ใช้คลุมศีรษะและคอ มีหางยาวแบบ Turban หมวกทรง Bonnets และทรง Hennes 

           ทรงผมของชายจะตัดสั้น บางคนตัดเกรียนแบบพระ กันท้ายทอย ส่วนหญิงไว้ทรง Reticulated Headdress หรือถักเปีย 2 ข้าง ขมวดไว้ข้างหูแล้วคลุมด้วย Net ประดับเพชรพลอย


4.ประเทศ สวิตเซอร์แลนด์ 





          ประเทศแห่งความสวยงามนะครับ

Switzerland, Swiss, Schwyz, Schweiz, Suisse, Svizzera 

โอย...เป็นประเทศที่มีหลายชื่อจริงๆ นั่นก็เนื่องมาจากเชื้อชาติที่หลากหลาย

โดยนำชื่อมณฑลหนึ่งในสามมณฑล(กลุ่มชน)ก่อตั้งประเทศ นั่นก็คือ Schwyz มาตั้งเป็นชื่อประเทศ

          Font ที่ชื่อ Helvetica มีต้นกำเนิดที่นี่ มาจากชื่อประเทศอย่างเป็นทางการในภาษาละติน

ลักษณะเด่นของชุดประจำชาติในยุโรปคือ ต้องมีผ้ากันเปื้อน (มีชาติไหนไม่มีบ้างเนี่ย
สวิสก็เช่นกัน ที่เป็นเอกลักษณ์ของสวิส คือ คอเซ็ทแข็งปั๊กสีดำ ดูคล้ายเสื้อกันกระสุน
กับหมวกทรง 3 เขาน่ารักๆ บางพื้นที่จะใส่เป็นหมวกทรงฝรั่งเศสธรรมดา
ที่สำคัญบรรดาชุดเหมด(maid)ที่ฮิตๆกันนั้น มีที่มาจากชุดประจำชาติสวิสนี่เอง




        
5.ประเทศตุรกี
วิถีชีวิต และวัฒนธรรม
          รากฐานทางสังคมของตุรกีมีลักษณะเป็นแบบครอบครัวขยาย ที่มีความสัมพันธ์กันทั้งทางสายเลือด และการแต่งงาน โดยยึดถือการถ่ายทอดทางฝ่ายชาย สมาชิกทุกคนยึดถือปฏิบัติตามหลักศาสนา ผู้ชายทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัว ในปัจจุบันมีความพยายามส่งเสริมเรื่องความเท่าเทียมกัน ระหว่างผู้หญิงและผู้ชาย โดยผู้หญิงสามารถออกไปทำงานนอกบ้านได้ ทั้งในส่วนของรัฐบาล และภาคเอกชน แต่ผู้ชายก็ยังมีความคิดว่า ผู้หญิงด้อยกว่าทั้งทางด้านร่างกาย และอารมณ์

การแต่งกาย

ผู้ชายชาวตุรกีจะสวมกางเกงขาพอง สวมเสื้อเชิ้ตไม่มีปก และสวมทับด้วยเสื้อกั๊ก หรือแจ็คเก็ตสั้นผ่าแขน เรียกว่า เซปเกน ผู้หญิงสวมเสื้อเชิ้ตเรียกว่า มินตัน กางเกงขาพอง กระโปรงที่มีสามชิ้น และสวมที่คลุมศีรษะ 


สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
www.human.cmu.ac.th/home/hc/ebook/006216/006216-06.pdf